มหัศจรรย์เมืองมรดกโลก “อัลอูลา”

“อัลอูลา” (AlUla) เมืองที่ถูกจัดให้เป็น เมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO World Heritage Site) เป็นแห่งแรกของซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายลึกในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ สถานที่แห่งนี้นอกเหนือจากความมหัศจรรย์ของเทือกเขาหินทราย ร่องโตรกภูผา ที่ธรรมชาติได้ปั้นแต่งขึ้นอย่างสวยสดงดงามแล้ว ที่อัลอูลา ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองผ่านมากว่า 7,000 ปีมาแล้ว

มาดูกันว่าที่ เมืองอัลอูลา มีสิ่งน่าสนใจอะไรกันบ้าง ? 

หินรูปช้าง (Elephant Rock) หรือ
ภูเขาอัลฟีล (Jabal Alfil) เป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น่าพิศวงที่เกิดขึ้นเองในอัลอูลา หินรูปทรงแปลกขนาดใหญ่ คล้ายกับช้างยืนเอางวงค้ำพื้นดินทะเลทรายอยู่ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาหินทราย ตั้งตระหง่านสูงจากพื้นดินประมาณ 52 เมตร ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 11 กิโลเมตร จากตัวเมืองอัลอูลา เค้าว่ากันว่าการได้ดูพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าด้านหลังหินรูปช้างนี้ งดงามติดตาติดใจสุดๆ
 
ย่านเมืองเก่าอัลอูลา (AlUla Old Town) ลองนึกดูว่าหากได้เดินเล่นเพลิดเพลิน ซึมซาบบรรยากาศของเมืองเก่า ที่มีบ้านเรือน ตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของ ที่ได้รับการบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมมาจากเดิม ที่เป็นเมืองโบราณ ที่มีบ้านเรือนและอาคารต่างๆมากกว่า 1,200 หลัง ซึ่งสร้างจากหินและดินโคลนล้วนๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบ เราจะรู้สึกวิเศษเพียงใด
 
เฮกรา (Hegra) เป็นที่รู้จักในนาม Mada'in Salih (Cities of Salih) เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของอัลอูลา ซากปรักหักพังของโบราณสถานส่วนใหญ่ มีอายุตั้งแต่สมัยอาณาจักรนาบาเทียน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 โดยตำแหน่งที่ตั้งตรงบริเวณนี้ ถือเป็นส่วนใต้สุดของราชอาณาจักรนาบาเทียน และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากนครหลวงเพตรา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน) นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการยึดครองของชนชาติต่างๆ เช่น ชาวลิเฮียน (Lihyanite) หรือชาวดาดัน (Dadan) และชาวโรมัน (Roman) อีกด้วย

ในปี ค.ศ. 2008 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้สถานที่แห่งนี้ให้เป็น มรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบีย (1st UNESCO World Heriatge Site) เนื่องจากความเก่าแก่และความสมบูรณ์ของซากโบราณสถาน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสุสานหินแกะสลักโบราณ ขนาดมหึมา 131 แห่ง ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สุสานหินเหล่านี้เป็นของเหล่าบรรดาผู้มั่งมี ที่มีความเชื่อในชีวิตหลังความตาย ส่วนด้านหน้าของสุสาน เป็นการแกะสลักหน้าผาหิน ให้เป็นลวดลายประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจงสวยงาม ตามความนิยมของหมู่ชาวนาบาเทียนในสมัยนั้น 

อาณาจักรดาดันไนท์ (Dadanite Kingdom) หรืออาณาจักรลิเฮียนไนท์ (Lihyanite Kingdom) หนึ่งในอาณาจักรอาหรับโบราณ ที่ถูกค้นพบโดยนักสำรวจโบราณคดี ซึ่งมีอายุราวในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช โดยมีเมืองอัลอูลาแห่งนี้ เป็นเมืองหลวงในยุคนั้น สิ่งที่ขุดค้นพบ ทำให้รู้ว่าความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนี้ ไม่ธรรมดา มีระบบการจัดการน้ำและการทำการเกษตรที่ดี และมีการเริ่มปลูกต้นอินทผลัม พืชเศรษฐกิจที่เติบโตมีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนเมโสโปเตเมียอีกด้วย

ภูเขาอิคมาห์ (Jabal Ikmah) สถานที่อันสงบเงียบและศักดิ์สิทธิ์ในเขตอารยธรรมโบราณของชาวดาดัน หรือชาวลิเฮียน การเดินเที่ยวชมบนเส้นทางระหว่างโตรกร่องภูเขาหินที่นี่ เปรียบได้กับ การเป็น “ห้องสมุดกลางแจ้ง” ที่เต็มไปด้วยศิลปะ การจารึกบนแผ่นหิน มีทั้งที่เป็นรูปภาพต่างๆ และเป็นข้อความจารึกในภาษาต่างๆ ที่เหล่าผู้แสวงบุญและนักเดินทางที่มาจากที่อื่นๆ จะบันทึกข้อความถึงคนอื่นๆ ข้อความจารึกส่วนใหญ่เขียนด้วยภาษาดาดันนิติก ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในอาณาจักรดาดันไนท์ โดยอักษรที่เขียน จะอ่านจากขวาไปซ้าย มีตัวอักษรทั้งหมด 28 ตัวอักษร 
 
จุดชมวิวที่ ฮารัท อูวาย์ริด (Harrat Uwayrid Viewpoint)
ที่นี่ เป็นจุดหมายของคนที่ต้องการชมทัศนียภาพที่สวยงามของภูมิประเทศ แบบทุ่งลาวาภูเขาไฟสีดำ บนพื้นที่ขรุขระกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยภูผาหุบเขา ขนาดพื้นที่ของทุ่งภูเขาไฟแห่งนี้ มีความยาวประมาณ 180 กิโลเมตรและความกว้างประมาณ 90 กิโลเมตร เชื่อว่าการระเบิดปะทุขึ้นของภูเขาไฟในบริเวณนี้ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ. 640

 สถานีรถไฟโบราณ ฮิญาซ  (Hejaz Railways)
คนที่ชอบเรื่องราวของออตโตมัน หาเวลาแวะไปที่ สถานีรถไฟที่สร้างขึ้นในสมัยที่ออตโตมันปกครองดินแดนแถบนี้ สร้างในช่วงปี ค.ศ. 1901-1908 เพื่อที่จะเชื่อมเมืองดามัสกัส (ซีเรีย) กับ เมืองเมดินาห์ จึงสร้างสถานีสองแห่งในบริเวณนี้ คือ สถานีอัลอูลา กับสถานี Mada’in Salih 

หากมีโอกาส แนะนำให้ไปสัมผัสประสบการณ์สุดวิเศษครั้งหนึ่งในชีวิต กับ การดูดาวยามค่ำคืน แบบชาวเบดูอิน (Stargazing Experience) 
เพื่อให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างดวงดาวกับวิถีชีวิตของชาวเบดูอิน ชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางทะเลทรายตั้งแต่ในอดีต ซึ่งสะท้อนมายังวิถีวัฒนธรรมของชาวเบดูอินสืบมาในหลายช่วงอายุคนจวบจนปัจจุบัน

การเที่ยวชมเมืองอัลอูลา เปรียบได้กับการเดินทางข้ามกาลเวลา เพื่อไปสัมผัสความลับของอารยธรรมโบราณที่ถูกเปิดเผย ผ่านสถานที่ต่างๆที่ทรงคุณค่าผ่านกาลเวลายาวนานในเมืองโบราณอัลอูลาแห่งนี้ และคงต้องเป็นการเดินทางแบบ Slow Travel เพื่อให้รู้จักคุณค่าของ “อัลอูลา” อย่างแท้จริง

Let’s go to Saudi Arabia !

Top